diff --git a/_th/cheatsheets/index.md b/_th/cheatsheets/index.md
index 49861d3f0c..b59cf817a3 100644
--- a/_th/cheatsheets/index.md
+++ b/_th/cheatsheets/index.md
@@ -66,9 +66,9 @@ language: "th"
 |  `for (i <- 1 until 5) {`<br>    `println(i)`<br>`}`                                                     |  ทำความเข้าใจ for : ทำซ้ำโดยละเว้นขอบเขตบน |
 |  <span id="pattern_matching" class="h2">จับคู่รูปแบบ</span>                                                  |                 |
 |  <span class="label success">Good</span><br> `(xs zip ys) map { case (x,y) => x*y }`<br> <span class="label important">Bad</span><br> `(xs zip ys) map( (x,y) => x*y )` |  ใช้ case ใน arg ของฟังก์ชันสำหรับ จับคู่รูปแบบ (pattern maching) |
-|  <span class="label important">Bad</span><br>`val v42 = 42`<br>`Some(3) match {`<br>`  case Some(v42) => println("42")`<br>`    case _ => println("Not 42")`<br>`}`     |  "v42" ถูกตีความว่าเป็นชื่อที่ตรงกับค่า Int และพิมพ์ "42" |
-|  <span class="label success">Good</span><br>`val v42 = 42`<br>`Some(3) match {`<br>``    case Some(`v42`) => println("42")``<br>`case _ => println("Not 42")`<br>`}`    |  "v42" กับ backticks ถูกตีความว่าเป็น v42 val ที่มีอยู่และ<br>พิมพ์ "Not 42" |
-|  <span class="label success">Good</span><br>`val UppercaseVal = 42`<br>`Some(3) match {`<br>`  case Some(UppercaseVal) => println("42")`<br>`    case _ => println("Not 42")`<br>`}` |  UppercaseVal ถือว่าเป็น val ที่มีอยู่ไม่ใช่ตัวแปรรูปแบบใหม่<br> เพราะมันเริ่มต้นด้วยตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ ดังนั้นค่าที่มีอยู่ใน <br>UppercaseVal จะถูกตรวจสอบเทียบกับ 3 และพิมพ์ "Not 42" |
+|  <span class="label important">Bad</span><br>`val v42 = 42`<br>`Some(3) match {`<br>`  case Some(v42) => println("42")`<br>`    case _ => println("Not 42")`<br>`}`     |  "v42" ถูกตีความว่าเป็นชื่อที่ตรงกับค่า Int และแสดงค่า "42" |
+|  <span class="label success">Good</span><br>`val v42 = 42`<br>`Some(3) match {`<br>``    case Some(`v42`) => println("42")``<br>`case _ => println("Not 42")`<br>`}`    |  "v42" กับ backticks ถูกตีความว่าเป็น v42 val ที่มีอยู่และ<br>แสดงค่า "Not 42" |
+|  <span class="label success">Good</span><br>`val UppercaseVal = 42`<br>`Some(3) match {`<br>`  case Some(UppercaseVal) => println("42")`<br>`    case _ => println("Not 42")`<br>`}` |  UppercaseVal ถือว่าเป็น val ที่มีอยู่ไม่ใช่ตัวแปรรูปแบบใหม่<br> เพราะมันเริ่มต้นด้วยตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ ดังนั้นค่าที่มีอยู่ใน <br>UppercaseVal จะถูกตรวจสอบเทียบกับ 3 และแสดงค่า "Not 42" |
 |  <span id="object_orientation" class="h2">การใช้งาน object</span>                                         |                 |
 |  `class C(x: R)` _เหมือนกับ_ <br>`class C(private val x: R)`<br>`var c = new C(4)`                         |  ตัวสร้างพารามิเตอร์ - x มีเฉพาะในคลาส body เท่านั้น |
 |  `class C(val x: R)`<br>`var c = new C(4)`<br>`c.x`                                                      |  ตัวสร้างพารามิเตอร์ - กำหนดสมาชิกสาธารณะโดยอัตโนมัติ |
diff --git a/_th/tour/classes.md b/_th/tour/classes.md
index 7800a5f492..3054dbcc8d 100644
--- a/_th/tour/classes.md
+++ b/_th/tour/classes.md
@@ -11,7 +11,7 @@ next-page: traits
 previous-page: unified-types
 ---
 
-คลาสใน Scala เป็นพิมพ์เขียวสำหรับสร้าง object ในคลาสสามารถมี method, value, ตัวแปร, type, object, 
+คลาสใน Scala เป็นพิมพ์เขียวสำหรับสร้าง object ในคลาสสามารถมี method, value, ตัวแปร, type, object,
 trait และคลาส ซึ่งเรียกรวมๆ กันว่า _members_ หรือ _สมาชิก_ ของคลาส type, object และ trait จะกล่าวถึงภายหลัง
 
 ## การกำหนดคลาส
@@ -22,7 +22,7 @@ class User
 
 val user1 = new User
 ```
-keyword `new` ใช้เพื่อสร้าง instance ของคลาส `User` มี constructor เริ่มต้นซึ่งไม่รับค่า argument เพราะว่าไม่ได้กำหนด constructor ไว้ตอนประกาสคลาส 
+keyword `new` ใช้เพื่อสร้าง instance ของคลาส `User` มี constructor เริ่มต้นซึ่งไม่รับค่า argument เพราะว่าไม่ได้กำหนด constructor ไว้ตอนประกาสคลาส
 
 อย่างไรก็ตาม, เราอาจจะมี constructor และ body ของคลาส
 ตัวอย่างดังนี้ เป็นการประกาศคลาสสำหรับจุด (point):
@@ -41,11 +41,11 @@ class Point(var x: Int, var y: Int) {
 
 val point1 = new Point(2, 3)
 point1.x  // 2
-println(point1)  // พิมพ์ (2, 3)
+println(point1)  // แสดงค่า (2, 3)
 ```
 
 คลาส `Point` นี้มีสมาชิก 4 ตัว คือ ตัวแปร `x` และ `y` และ method `move` และ `toString`
-ไม่เหมือนภาษาอื่นๆ, ซึ่ง constructor หลักจะอยู่ใน class signature `(var x: Int, var y: Int)` 
+ไม่เหมือนภาษาอื่นๆ, ซึ่ง constructor หลักจะอยู่ใน class signature `(var x: Int, var y: Int)`
 method `move` รับ argument ชนิดตัวเลข 2 ตัว และ return เป็นค่า Unit `()` ซึ่งไม่มีค่า
 จะมีผลลัพธ์คลายกับ `void` ในภาษาที่เหมือน Java, `toString` ในทางกลับกัน ไม่รับ argument ใดๆ แต่ return เป็นค่า `String` ซึ่งแทนที่ method `toString` จาก [`AnyRef`](unified-types.html) โดยจะมี keyword `override`
 
@@ -58,7 +58,7 @@ class Point(var x: Int = 0, var y: Int = 0)
 
 val origin = new Point  // x and y are both set to 0
 val point1 = new Point(1)
-println(point1.x)  // พิมพ์ 1
+println(point1.x)  // แสดงค่า 1
 
 ```
 
@@ -68,13 +68,13 @@ println(point1.x)  // พิมพ์ 1
 ```scala mdoc:nest
 class Point(var x: Int = 0, var y: Int = 0)
 val point2 = new Point(y=2)
-println(point2.y)  // พิมพ์ 2
+println(point2.y)  // แสดงค่า 2
 ```
 
 นี้เป็นวิธีปฏิบัติที่ดีเพื่อจะทำให้โค้ดชัดเจนมากขึ้น
 
 ## Private Members และ Getter/Setter
-สมาชิกของคลาสจะเป็น public โดยค่าเริ่มต้น ใช้ access modifier `private` 
+สมาชิกของคลาสจะเป็น public โดยค่าเริ่มต้น ใช้ access modifier `private`
 เพื่อซ่อนสมาชิกนั้นจากภายนอกของคลาส
 ```scala mdoc:reset
 class Point {
@@ -97,10 +97,10 @@ class Point {
 
 val point1 = new Point
 point1.x = 99
-point1.y = 101 // พิมพ์คำเตือน warning
+point1.y = 101 // แสดงค่า "WARNING: Out of bounds"
 ```
-คลาส `Point` เวอร์ชันนี้ ข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในตัวแปรชนิด private ที่ชื่อว่า `_x` และ `_y` และมี method ที่ชื่อว่า `def x` และ `def y` ทีจะใช้ในการเข้าถึงข้อมูล private เป็น getter, `def x_=` และ `def y=` 
-เป็น method สำหรับตรวจสอบข้อมูลและ setting ค่าของตัวแปร `_x` และ `_y` 
+คลาส `Point` เวอร์ชันนี้ ข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในตัวแปรชนิด private ที่ชื่อว่า `_x` และ `_y` และมี method ที่ชื่อว่า `def x` และ `def y` ทีจะใช้ในการเข้าถึงข้อมูล private เป็น getter, `def x_=` และ `def y=`
+เป็น method สำหรับตรวจสอบข้อมูลและ setting ค่าของตัวแปร `_x` และ `_y`
 สังเกตว่า syntax พิเศษนี้สำหรับ setter: คือ method ที่ตามด้วย `_=` ไปยังตัวระบุของ setter และ parameter ตามหลังมา
 
 constructor หลักกำหนด parameter ด้วย `val` และ `var` เป็น public อย่างไรก็ตามเพราะว่า `val` เป็นตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ (immutable) เราไม่สามารถเขียบแบบนี้ได้
diff --git a/_th/tour/traits.md b/_th/tour/traits.md
index dfc3b31a74..92dc07597c 100644
--- a/_th/tour/traits.md
+++ b/_th/tour/traits.md
@@ -75,7 +75,7 @@ val cat = new Cat("Sally")
 val animals = ArrayBuffer.empty[Pet]
 animals.append(dog)
 animals.append(cat)
-animals.foreach(pet => println(pet.name))  // พิมพ์ Harry Sally
+animals.foreach(pet => println(pet.name))  // แสดงค่า Harry Sally
 ```
-`trait Pet` มี abstract field `name` ซึ่ง implement โดย Cat และ Dog ใน constructor ของมัน 
+`trait Pet` มี abstract field `name` ซึ่ง implement โดย Cat และ Dog ใน constructor ของมัน
 ในบรรทัดสุดท้าย เราเรียก `pet.name` ซึ่งจะต้องถูก implement แล้วใน subtype ใดๆ ของ trait `Pet`